เป็นการยากจริง ๆ ที่เราจะตั้งใจอ่านสัญญาในกรมธรรม์
เพราะภาษากฎหมายนี่มันต้องแปลไทยเป็นไทย (ทำไมไม่เขียนให้มันอ่านง่าย ๆ ก็ไม่รู้)
หลายคนก็ต่อกรมธรรม์ไปเพราะรู้ว่ามันต้องทำ (ก็แค่นั้น) แต่พอเกิดอุบัติเหตุหรือคราวต้องเคลมประกันแล้ว
กลับทำตัวไม่ถูก
ขออธิบายกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ เอาแบบเข้าใจง่าย ๆ หวังว่าจะช่วยให้เรารักษาผลประโยชน์ของเราได้อย่างเต็มที่ และจะได้ไม่ไปตบตีกับบริษัทประกันแบบมั่ว ๆ
สิทธิประโยชน์ที่ควรจำ
· กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์จะมีผลทันทีหลังชำระเบี้ยประกัน (จะชำระที่บริษัทประกันหรือนายหน้าผู้เอาประกันก็ตาม) ดังนั้น สิ่งที่สำคัญคือ ต้องขอใบเสร็จรับเงินทันทีและเก็บใบเสร็จรับเงินดีๆ
ขออธิบายกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ เอาแบบเข้าใจง่าย ๆ หวังว่าจะช่วยให้เรารักษาผลประโยชน์ของเราได้อย่างเต็มที่ และจะได้ไม่ไปตบตีกับบริษัทประกันแบบมั่ว ๆ
สิทธิประโยชน์ที่ควรจำ
· กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์จะมีผลทันทีหลังชำระเบี้ยประกัน (จะชำระที่บริษัทประกันหรือนายหน้าผู้เอาประกันก็ตาม) ดังนั้น สิ่งที่สำคัญคือ ต้องขอใบเสร็จรับเงินทันทีและเก็บใบเสร็จรับเงินดีๆ
· ถ้ารถเกิดความเสียหายสิ้นเชิง (total loss หรือมักพูดสั้นๆกันว่า
ตีเป็น loss) ซึ่งมันเป็นสภาพที่ไม่สามารถซ่อมกลับคืนดังเดิมได้
บริษัทประกันภัยจะต้องจ่ายเงินให้แก่เรา (ผู้เอาประกัน) เต็มทุนประกัน
และรถคันนั้นจะตกเป็นทรัพย์สินของบริษัทประกันภัย ไป แต่ถ้าเราซื้อผ่อนกับไฟแนนซ์
ก็จะมีสัญญาให้เราโอนค่าประกันนี้ให้ไฟแนนซ์โดยตรง แล้วค่อยมาเคลียร์ส่วนต่างกันภายหลัง
· ค่าเสียหายส่วนแรกส่วนค่าเอ็กเซส (excess) ในกรณีไม่มีคู่กรณีจะจ่ายเพียง 1,000 บาท เท่านั้น
แต่ถ้าคนอื่นขับไปทำให้เกิดความเสียหาย (เป็นฝ่ายผิด) ต้องจ่าย 2,000 - 6,000 บาท
ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับข้อตกลงเกี่ยวกับการตกลงจ่ายค่าส่วนแรกส่วน deductible แบบสมัครใจด้วย
· การดูแลขนย้ายรถที่เสียหายเนื่องจากอุบัติเหตุเพื่อไปซ่อมที่อู่ เป็นหน้าที่ของบริษัทประกันตั้งแต่หลังเกิดเหตุจนกระทั่งซ่อมเสร็จ ดังนั้น แม้ว่าระหว่างนั้นจะต้องย้ายรถไปโรงพักหรือที่ใดก่อนก็ตามเพราะเหตุนี้
บริษัทประกันภัยก็จะต้องรับภาระส่วนนี้ แต่ไม่เกินร้อยละยี่สิบของค่าซ่อม
· ค่าอะไหล่ที่เกิดจากการซ่อม
ผู้เอาประกันสามารถเรียกร้องเป็นเงินตามราคาประเมินเพื่อนำไปจัดหาเองได้
เพราะบางครั้งเราก็ไม่มั่นใจหรอกว่า
อู่ที่บริษัทประกันมีอยู่จะไช้อะไหล่รถแท้หรือป่าว
· ถ้าขับรถชนกับรถคู่กรณีที่ไม่มีประกันภัยและรถของเราเป็น “ฝ่ายถูก” ต้องตรวจสอบกับบริษัทประกันภัยว่าตามรายงานอุบัติเหตุนั้น
รถของคุณเป็นฝ่ายถูกจริงเหรอ ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์
· กรณีเราเป็นฝ่ายถูก หากรถต้องซ่อมนาน
เรามีค่าใช้จ่ายเพิ่มระหว่างไม่มีรถใช้แน่นอน อย่าลืม "เรียกสินไหมค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อม" จากบริษัทประกันของคู่กรณี
ข้อปฏิบัติที่ควรจำ
· ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุที่ยังไม่เป็นที่แน่ใจว่าเราเป็นฝ่ายถูกหรือผิด
เราก็ไม่จำเป็นต้องเซ็นต์ชื่อรับผิดในใบเคลม (มันไม่ใช่กฎ กติกา มารยาท
หรือข้อกฏหมายใด) การตรวจสอบหรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงเป็นหน้าที่ของบริษัทประกัน
(ต้องจัดไป)
· ห้ามหนีในกรณีที่ขับรถชนคน ถ้าหนีจะเป็นเหตุให้เราติดคุกทันที
(ไม่รับผิดชอบ) การให้ช่วยเหลือคนเจ็บให้เต็มที่
รวมถึงการถ่ายรูปหลักฐานที่เกิดเหตุไว้ต่อสู้คดี
บางทีโทษทางอาญาอาจเหลือแค่การรอลงอาญา และตกลงค่าเสียหายกันตามสมควร
อย่างน้อยถ้าเราไม่ใช่คนเลวบริสทธิ์แล้ว ศาลจะพิจารณาจากความมีน้ำใจที่เราช่วยเหลือผู้อื่น
(แสดงความรับผิดชอบโดยยอมรับความผิดนี้)
· หากภายในรถมีการการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมจากโรงงานหลังจากที่ทำประกันไปแล้ว
เช่น เครื่องเสียงชั้นดี ระบบก๊าซ CNG
(หรือที่เรียกทั่วไปว่า NGV) ระบบก๊าซ LPG เจ้าของรถมีหน้าที่ต้องแจ้งให้บริษัทประกันทราบ ไม่เช่นนั้น
หากเกิดเหตุและรถคันเอาประกันเป็นฝ่ายผิด
ความคุ้มครองที่จะได้รับจากการประกันอาจไม่สมบูรณ์ได้
(ได้สินไหมทดแทนเฉพาะแต่ตัวรถ นอกนั้นจะไม่รับเคลม) แต่แน่นอนว่า
มูลค่าของทรัพย์สินที่ประกันจะเพิ่มขึ้น บริษัทประกันก็อาจจะเรียกเบี้ยประกันเพิ่มเติมได้
· *** กรมธรรม์จะไม่คุ้มครองความเสียหายในขณะที่รถอยู่ระหว่างการลากจูง
การขับรถขณะที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ ในเลือดไม่น้อยกว่า 150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ การขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่
เว้นแต่ในกรณีที่ทำประกัน ประเภทระบุชื่อคนขับ
และความเสียหายนั้นเกิดขึ้นในขณะที่คนระบุชื่อเป็นผู้ขับขี่
· กรมธรรม์คุ้มครองทรัพย์สินบุคคลภายนอก ดังนั้น
สมมติว่าถ้าขับรถชนบ้านตัวเอง บ้านคู่สมรส บ้านบิดามารดา บ้านลูกตัวเอง
หรือแม้แต่ลูกจ้าง บริษัทประกันไม่จ่ายให้กับความเสียหายของทรัพย์สินที่ว่านี้
(เพราะไม่ถือว่าเป็นบุคคลภายนอก) จะจ่ายเฉพาะการซ่อมรถเราเท่านั้น (ถ้าเลือกกรมธรรม์ภาคสมัครใจประเภท 1 หรือประเภท 5)
· กรณีต้องนำเข้าอะไหล่ ประกันภัยประเมินชดเชยตามราคาอะไหล่แบบขนส่งทางเรือ
ถ้าแพงเพราะใช้บริการขนส่งแบบอื่น ประกันจะไม่จ่ายในส่วนที่เกินมานี้
ข้อควรทราบ
ประกันภัยมักมีข้อยกเว้นหรือเงื่อนไขพิเศษ ควรศึกษาสัญญาแบท้ายต่าง ๆ ที่มี เช่น ยางรถยนต์มักจะถูกถือว่าเป็นสิ่งที่เสื่อมค่าจากการใช้งาน อาจจะเคลมไม่ได้ถ้าไม่มีหลักฐานชัดว่าเสียหายเพราะอุบัติเหตุ (เช่น กะทะล้อต้องมีร่องรอยอุบัติเหตุ) และแม้พิสูจน์ได้แล้วว่าเสียหายจากอุบัติเหตุ ประกันภัยก็อาจจะรับผิดชอบเพียง 50% ของมูลค่ายางเท่านั้น
อย่าลดความรับผิดชอบเราลงให้เท่ากับประกันภัย
สิ่งที่สำคัญไม่แพ้การมีประกันภัยรถยนต์ที่ดีคือ จิตสำนึกของความรับผิดชอบ หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นและเราเป็นฝ่ายผิด เราต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด อย่าลืมว่า ประกันภัยไม่ใช่เทพที่คอยรับผิดแทนเราหมด ประกันภัยรถยนต์ช่วยรับภาระบางส่วนตามขอบเขตความคุ้มครองที่ให้สัญญาไว้กับเราเท่านั้น (แม้แต่ประกันภัยชั้น 1 ก็ไม่ใช่เทพ ตามที่หลายคนเข้าในผิด ถ้าลองไปหาอ่านใน pantip จะพบว่าหลายคนเข้าใจเรื่องประกันชั้น 1 แบบผิด ๆ) และหากบริษัทประกันภัยไม่ทำตามสัญญา มันก็ควรเป็นหน้าที่เราที่จะต้องติดตามทวงถามค่าทดแทนต่าง ๆ จากบริษัทประกัน (เหมือนเราเป็นเจ้าหนี้นาย ก. แต่นาย ก. เป็นเจ้าหนี้นาย ข. ในเวลาเดียวกัน ถ้าเราไปทวงหนี้นาย ก. แต่นาย ก. บอกเราว่า ถ้าอยากได้เงินก็ไปทวงกับนาย ข. เอาเอง โดยสามัญสำนึกมันก็บอกเราแล้วว่า การทวงหนี้นาย ข. มันไม่ใช้หน้าที่เรา)
หวังว่าเราจะไม่เบื่อกับการทำความเข้าใจกรมธรรม์ประกันภัยให้ครบถ้วนนะครับ อย่าเพียงแต่ขับรถและได้มีกรมธรรม์ แต่ต้องขับรถแบบใช้กรมธรรม์เป็นด้วยครับ
ประกันภัยมักมีข้อยกเว้นหรือเงื่อนไขพิเศษ ควรศึกษาสัญญาแบท้ายต่าง ๆ ที่มี เช่น ยางรถยนต์มักจะถูกถือว่าเป็นสิ่งที่เสื่อมค่าจากการใช้งาน อาจจะเคลมไม่ได้ถ้าไม่มีหลักฐานชัดว่าเสียหายเพราะอุบัติเหตุ (เช่น กะทะล้อต้องมีร่องรอยอุบัติเหตุ) และแม้พิสูจน์ได้แล้วว่าเสียหายจากอุบัติเหตุ ประกันภัยก็อาจจะรับผิดชอบเพียง 50% ของมูลค่ายางเท่านั้น
อย่าลดความรับผิดชอบเราลงให้เท่ากับประกันภัย
สิ่งที่สำคัญไม่แพ้การมีประกันภัยรถยนต์ที่ดีคือ จิตสำนึกของความรับผิดชอบ หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นและเราเป็นฝ่ายผิด เราต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด อย่าลืมว่า ประกันภัยไม่ใช่เทพที่คอยรับผิดแทนเราหมด ประกันภัยรถยนต์ช่วยรับภาระบางส่วนตามขอบเขตความคุ้มครองที่ให้สัญญาไว้กับเราเท่านั้น (แม้แต่ประกันภัยชั้น 1 ก็ไม่ใช่เทพ ตามที่หลายคนเข้าในผิด ถ้าลองไปหาอ่านใน pantip จะพบว่าหลายคนเข้าใจเรื่องประกันชั้น 1 แบบผิด ๆ) และหากบริษัทประกันภัยไม่ทำตามสัญญา มันก็ควรเป็นหน้าที่เราที่จะต้องติดตามทวงถามค่าทดแทนต่าง ๆ จากบริษัทประกัน (เหมือนเราเป็นเจ้าหนี้นาย ก. แต่นาย ก. เป็นเจ้าหนี้นาย ข. ในเวลาเดียวกัน ถ้าเราไปทวงหนี้นาย ก. แต่นาย ก. บอกเราว่า ถ้าอยากได้เงินก็ไปทวงกับนาย ข. เอาเอง โดยสามัญสำนึกมันก็บอกเราแล้วว่า การทวงหนี้นาย ข. มันไม่ใช้หน้าที่เรา)
หวังว่าเราจะไม่เบื่อกับการทำความเข้าใจกรมธรรม์ประกันภัยให้ครบถ้วนนะครับ อย่าเพียงแต่ขับรถและได้มีกรมธรรม์ แต่ต้องขับรถแบบใช้กรมธรรม์เป็นด้วยครับ
ขอบคุณครับกับบทความ ทำให้เข้าใจแนวคิดและภาพรวมเกี่ยวกับการประกันภัยรถยนต์
ตอบลบ