ในประเทศไทยมีบริษัทที่รับประกันวินาศภัยประมาณกว่า
70 บริษัท และบริษัทที่ครองส่วนแบ่งการตลาดส่วนใหญ่มีอยู่ถึง 6 บริษัท
และจากสถิติการเลือกบริษัทประกันภัยนั้น อันดับหนึ่งคือเลือกเพราะแถมมากับการซื้อรถหรือการผ่อนรถนั่นเอง (บังคับเลือกเสียมากกว่าเพราะการตลาดมันครอบงำอยู่)
ไม่ต้องแปลกใจอะไรครับ
ถ้าหากเราคิดไม่ออกว่าจะทำประกันภัยรถยนต์ที่ไหนดี หรือไม่ก็คงเลือกยากพอสมควร
แม้จะไปค้นในกูเกิลว่า "ประกันภัยรถยนต์ที่ไหนดี pantip" ก็ยังไม่ค่อยจะได้คำตอบดีนัก
และการพูดคุยกันตามเว็บบอร์ดว่าเจ้าไหนราคาถูกหรือแพงก็ไม่ได้มีรายละเอียดว่า
เงื่อนไขในกรมธรรม์เป็นอย่างไร
และแทบจะไม่มีใครพูดถึงว่าควรเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ควรทำอย่างไร
ยิ่งกว่านั้นแต่ละบริษัทก็ต่างทำโฆษณากรอกหูเรา
ๆ ท่าน ๆ (ที่กำลังคิดอยู่ว่าจะทำประกันภัยรถยนต์ที่ไหนดี)
ว่าบริการของเขาดีอย่างไร เช่น มาเร็ว เคลมเร็ว ใจเขา ใจเรา มันก็ไม่แปลกอะไร
เพราะถ้าไม่ทำแคมเป็ญการตลาด ก็อาจจะเจ๊งในเร็ววัน
(ส่วนการบริการมันจะเป็นตามที่โฆษณาไว้หรือไม่มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
เข้าเรื่องเสียที
ในที่นี้ขอพูดถึงการเลือกประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ โดยแนวทางที่จะกล่าวต่อไปนี้
อาจจะช่วยให้เรา ๆ ท่าน ๆ จ่ายเบี้ยประกันที่เหมาะสมกับความต้องการและรอดพ้นจากการนำเสนอขายแพงเกินจริง
(เพราะไม่ได้ประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย)
1. กำหนดความคุ้มครองที่ต้องการก่อน
ก. ความคุ้มครองต่อเรา
ปัจจุบันวงเงินความคุ้มครองความเสียหายต่อบุคคลภายนอกมักจะไม่แตกต่างกันมากนัก
ให้กำหนดความคุ้มครองต่อรถเราโดยตรงเลย หลัก ๆ เช่น
· ลักษณะความคุ้มครองที่ใช้กับรถ
(ใช้ส่วนตัว / รับจ้าง / ให้เช่า / ฯลฯ)
· ประเภทประกันภัยรถยนต์ที่ต้องการ
· จะซ่อมอู่หรือซ่อมห้าง
(สำหรับประกันภัยรถยนต์ประเภท 1)
· วงเงินเอาประกันที่ต้องการ
(ปกติจะได้ไม่เกิน 80% ของราคาประเมินรถ)
ข. กำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมเพื่อลดเบี้ยประกัน
· สมัครใจจ่ายค่าเสียหายส่วนแรกเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือไม่
(เบี้ยประกันจะลดตามที่เราสมัครใจจ่าย)
· ระบุชื่อคนขับหรือไม่
(ระบุคนขับเสียเบี้ยประกันน้อยกว่า)
· ระบุขอบเขตพื้นที่ของการใช้รถ
(ขับในเมืองอย่างเดียว / ขับทั่วไปประเทศ / ขับไปไกลถึงประเทศเพื่อนบ้าน)
ค. กำหนดความต้องการเพิ่มเติมตามความเหมาะสม
· ส่วนลดจากประวัติดี
สามารถโอนย้ายไปบริษัทประกันภัยอื่นได้หรือไม่ เท่าไหร่
· มีสิ่งที่ต้องการเพิ่มเติมกรณีอุบัติเหตุอะไรบ้าง
เช่น เมื่อมีความเสียหาย
เราต้องการเปลี่ยนอะไหล่แท้หรืออะไหล่เทียบเท่า หรือซ่อม
· กรณีเราขับรถชนคน
มีวงเงินประกันตัวหรือค่าใช้จ่ายในการขึ้นศาลหรือไม่ เท่าไหร่
· การเรียกสินไหมค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อม หรือการมีรถใช้ระหว่างซ่อม
o
กรณีเราเป็นฝ่ายถูก
มีบริการเรียกสินไหมจากคู่กรณีที่ไม่มีประกันด้วยหรือไม่
หรือเรามีรถให้ใช้ระหว่างซ่อมหรือไม่
o
กรณีเราเป็นฝ่ายผิด
คู่กรณีเรียกสินไหมจากประกันภัยของเราได้หรือไม่
2. เตรียมข้อมูลก่อนติดต่อบริษัทประกันภัย
· สำเนาเล่มทะเบียนรถ
(นอกเหนือข้อมูลรถเอาประกันแล้ว จะได้ข้อมูลสำหรับคำนวณเบี้ยประกันทั้งหมดด้วย)
· สำเนาบัตรประชาชนคนเอาประกัน / คนขับ (กรณีต้องการกรมธรม์แบบระบุชื่อคนขับ)
· ราคารถตามราคาตลาด
ณ ตอนทำประกันภัย (กรณีต่ออายุประกัน เพื่อกำหนดวงเงินคุ้มครอง)
· รายการอุปกรณ์ที่ติดตั้งเสริมเข้าไป
(เพื่อการคุ้มครองที่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ค่าเบี้ยประกันอาจจะแพงขึ้น)
3. ขอการเสนอราคา
(เบี้ยประกัน) จากบริษัทประกันภัยหลาย ๆ เจ้า
ทั่ว
ๆ ไปนิยมเลือกทำ 2 แบบ
ก. ติดต่อตัวบริษัทโดยตรง ข้อดีคือ
เขาอาจจะตอบข้อสักถามพวกปลีกย่อยได้ดีกว่า
แต่อย่าคาดหวังว่าจะได้บริการแปลกแหวกแนวอะไร เพราะมันเป็นสินค้าแบบมวลชน (mass
product) แนวทางดำเนินการต่าง ๆ แบบเดียวกัน (ไม่ต่างการสมัครใช้งานบัตรเครดิต)
แต่เราต้องหาข้อมูลสำหรับเลือกบริษัทประกันภัยเอง แนวทางที่ใช้กันโดยทั่วไปคือ
· มีคนเลือกใช้บริการมากที่สุด
· การการประกันภัยตรงความต้องการของเรามากที่สุด
· จ่ายค่าสินไหมทดแทนตรงตามที่นัดไว้
· ให้บริการรวดเร็ว
ข. ติดต่อโบรกเกอร์ประกัน ข้อดีคือ
เราจะได้บริการที่ค่อนข้างรวดเร็ว และช่วยคัดบริษัทประกันภัยให้แก่เราในเบื้องต้น
(ข้อมูลต่าง ๆ อาจจะแม่นกว่าเรา เพราะขายมาเยอะ)
และเรามักจะได้ของสมนาคุณหรือบริการต่าง ๆ เพิ่มเติมจากที่บริษัทประกันเองมีให้
ที่เป็นเช่นนี้เพราะโบรกเกอร์ได้ค่านายหน้าจากบริษัทประกันนั่นเอง ทั้งนี้ทั้งนั้น
ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียงดีหน่อย
ไม่งั้นเขาอาจจะเชียร์เฉพาะเจ้าที่ให้คอมมิชชั่นเขาสูง ๆ
4. คัดเลือกบริษัทประกันภัย บางครั้งสิ่งที่บริษัทประกันให้มา
ก็อาจจะไม่ตรงกับที่เราต้องการเสียทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประกันภัยชั้น 1 ให้เปรียบเทียบประเด็นต่าง ๆ ต่อไปนี้
· เปรียบเทียบเบี้ยประกันภัยกับความคุ้มครองที่ได้
อย่าเอาราคาถูกหรือส่วนลดเข้าว่า แต่พอถึงเวลาเคลม เราอาจจะไม่ได้ตามที่คาดก็ได้
· เปรียบเทียบกรมธรรม์ของบริษัทประกันภัยแต่ละเจ้า
ดูว่าเงื่อนไขและข้อกำหนดของบริษัทไหนให้ประโยชน์มากกว่ากัน
· ควรตรวจสอบข้อความต่างๆ
อย่างละเอียดถี่ถ้วน และทำความเข้าใจความหมายของถ้อยคำในกรมธรรม์ให้ดี ไม่เช่นนั้น
เงื่อนไข และข้อกำหนด หรือข้อยกเว้นต่างๆ ในกรมธรรม์ อาจทำให้เราเสียเปรียบได้
5. หาผู้ช่วยก่อนและหลังคัดเลือกคัดเลือกบริษัทประกันภัย
การขอให้ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจ
มีประสบการณ์มาช่วย การหาข้อมูลจากคนรู้จักหรือข้อมูลจากการโพสต์กระทู้ตามเว็บบอร์ดต่าง
ๆ ล้วนเป็นสิ่งที่ดี เพราะการมีกรมธรรม์ประกันภัยที่มีเงื่อนไขที่ดีกับการเรียกร้องค่าเสียหายตอนเคลมนั้น
บางทีมันอาจจะต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่ได้ชิล ๆ อย่างที่เราหวังไว้
ตัวอย่างเช่น
· การประเมินความเสียหายอาจจะแตกต่างกันไป
(เราว่าต้องเปลี่ยนอะไหล่ แต่เขาว่าซ่อมก็พอ)
· บางทีบริษัทประกันเองมักจะขอเจรจาต่อรองค่าเสียหาย
(โดยเฉพาะตอนที่เขาต้องจ่ายเงินชดเชยมาก ๆ)
จะเห็นว่า
การซื้อประกันภัยรถยนต์จึงไม่ใช่เอาแต่ราคาถูกเข้าว่า ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับเงื่อนไขกรมธรรม์แต่ละส่วนให้เรียบร้อย
และตอนรับกรมธรรม์มาก็อย่าลืมตรวจดูเงื่อนไขต่างๆว่าตรงกับที่เราต้องการ
หรือตรงกับเบี้ยประกันที่เราจ่ายบริษัทประกันด้วยหรือไม่นะครับ สำหรับท่านที่อยากจะลองคำนวณเบี้ยประกันขั้นต้น ลองดูแนวทางใน เบื้องหลังเบี้ยประกันภัยรถยนต์
ตอนที่ 3 จะมีไฟล์ excel ให้ดาวน์โหลดแล้วลองใส่ตัวเลขดูด้วยตนเองก่อนครับ
ถ้าเราไม่ได้ถ่ายใบเครมคู้กรณีไว้แต่เราเป็นฝ่ายถุกและรถเราเป็นรถเข้าซ่อมเป็นเวลา4วันเรายังมีสิทเรียกร้องได้ยุรึเปล่าค่ะเพราะรถเราเป็นรถร่วมบริสัทต้องเสียรายได้ไป
ตอบลบ